รู้จักไหม? น้ำไขข้อแห้ง เรื่องเล็กๆ สู่การเป็นข้อเข่าเสื่อม

น้ำไขข้อ หรือ น้ำมันไขข้อ คือ น้ำหล่อลื่นที่อยู่ภายในข้อเข่า มีความเหนียว ลื่น ลักษณะเหมือนไข่ขาว ทำหน้าที่ช่วยลดการเสียดสี และ แรงกระแทก ของอวัยวะส่วนต่างๆ ภายในหัวเข่า ทำให้เราเดิน วิ่ง และ เคลื่อนไหวร่างกาย ได้อย่างสะดวก ซึ่งร่างกายของมนุษย์ จะมีการผลิตน้ำไขข้อ โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เราต้องระมัดระวัง ก็คือ ไม่ควรให้หัวเข่าของเรา ได้รับแรงกระแทก หรือ อุบัติเหตุใดๆ เพราะจะทำให้น้ำไขข้อแห้งได้ ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อหัวเข่าของเรามากที่สุด

อย่าปล่อยให้น้ำไขข้อแห้ง เพราะเสี่ยงต่อโรคเข่าเสื่อม

อย่างที่เกริ่นไว้ในตอนต้นว่า น้ำไขข้อ มีหน้าที่ช่วยลดการเสียดสี และ แรงกระแทก ของอวัยวะส่วนต่างๆ ภายในหัวเข่า ดังนั้นเราจึง ไม่ควรปล่อยให้น้ำไขข้อแห้งเด็ดขาด เพราะข้อต่างๆ ที่อยู่ภายในหัวเข่า จะเกิดการเสียดสีจนอักเสบได้ เมื่อปล่อยให้อักเสบ นานเข้า ก็จะกลายเป็น โรคข้อเข่าเสื่อม นั่นเอง โดยเราสามารถสังเกตอาการน้ำไขข้อแห้งได้จาก

1. รู้สึกปวดหัวเข่า งอเข่าแล้วเจ็บ เดินแล้วเจ็บเข่า เคลื่อนไหวเข่าไม่สะดวก

2. มีเสียงดังกรอบแกรบ ภายในข้อเข่า ขณะเคลื่อนไหวร่างกาย

3. มีอาการขัดหัวเข่า เข่าตึง

4. เข่าบวม อาจมีรอยแดง หรือ รู้สึกร้อนร่วมด้วย

5. เข่าโก่งงอ

หากมีอาการดังที่กล่าวมาข้างต้น สันนิษฐานได้ว่า คุณอาจเกิดภาวะน้ำไขข้อแห้ง และ กำลังจะกลายเป็น โรคข้อเข่าเสื่อม นั่นเอง

ทราบได้อย่างไร ว่าน้ำไขข้อแห้ง

นอกจากการสังเกตอาการ ตามที่กล่าวไปแล้วนั้น การพบแพทย์ เพื่อทำการวินิจฉัยโรค ก็จะทำให้เราทราบผลที่แน่ชัด โดยแพทย์จะทำการซักประวัติ และ ประเมินร่างกาย เช่น

• อายุกี่ปี? เพราะคนที่อายุมาก เสี่ยงต่อน้ำไขข้อแห้ง ลดลงเรื่อยๆ ไขข้อกระดูกเสื่อมได้ ตามความเสื่อมสภาพของร่างกายนั่นเอง
  
• น้ำหนักตัวเท่าไหร่? ยิ่งคนที่มีน้ำหนักตัวมาก มีโอกาสเสี่ยงต่อน้ำไขข้อแห้งมาก เพราะเข่า แบกรับน้ำหนักตัวมากเกินไป เกิดการเสียดสีภายในข้อเข่า เป็นประจำนั่นเอง
  
• เคยเกิดอุบัติเหตุรุนแรง ที่เข่าหรือไม่? เพราะหากเคยเกิดอุบัติเหตุ ก็อาจส่งผลให้เข่าได้รับการบาดเจ็บ ประสิทธิภาพในการผลิตน้ำมันไขข้อลดลง น้ำไขข้อกระดูกแห้งได้
  
• พฤติกรรมการใช้ชีวิตเป็นอย่างไร? เช่น ชอบนั่งคุกเข่า นั่งขัดสมาธิ นั่งยอง หรือนั่งพับเพียบ ติดต่อกันนานๆ เป็นประจำหรือไม่ เพราะท่าทางเหล่านี้ เสี่ยงต่อภาวะน้ำไขข้อแห้ง และเข่าเสื่อมได้ด้วย
  
• ระยะเวลาของการปวดเข่า นานเท่าใด?
  
• ลักษณะการเคลื่อนไหวของเข่า เป็นไปอย่างยากลำบาก หรือไม่?

นอกจากนี้ แพทย์จะทำการตรวจน้ำไขข้อแห้ง ด้วยวิธีอื่นๆ ร่วมด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ เช่น

• การตรวจหาบอลลอตเมนท์ (Ballottement) เพื่อดูแรงดันของน้ำในข้อเข่า
• การตรวจหาบัลไซน์ หรือ บอลลูนไซน์ (Bulge Sign / Balloon Sign) กรณีที่น้ำในข้อเหลือน้อย เพื่อดูแรงกระเพื่อมของน้ำ ที่ผิวด้านนอกของเข่า
• การตรวจด้วยการส่องกล้อง
• การตรวจด้วยการเอ็กซเรย์
• ตรวจการเสียดสีภายในข้อ (Crepitation)
• ตรวจหาความมั่นคงแข็งแรงของข้อ (Stability) เป็นต้น

หลากวิธีรักษาน้ำไขข้อแห้ง ไขข้อกระดูกเสื่อม ที่บางครั้งคุณอาจเข้าใจผิด

การรักษาน้ำไขข้อแห้ง สามารถทำได้หลายวิธี มีทั้งวิธีทางการแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทย การรับประทานอาหารเสริมต่างๆ แต่ละรูปแบบ ก็มีข้อดี ข้อเสีย แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับระดับอาการ และ ความพึงพอใจของผู้ป่วย ว่าจะเลือกรักษาแบบไหน โดยเราขออธิบายให้ทุกคน ได้เข้าใจ ถึงวิธีรักษาน้ำไขข้อแห้ง แบบฉบับเข้าใจง่าย ดังต่อไปนี้

1. การฉีดกรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid)

การฉีดกรดไฮยาลูรอนิค หรือ น้ำไขข้อเทียม เป็นการฉีดน้ำหล่อลื่น เข้าบริเวณช่องว่าง ของผิวข้อเข่า ซึ่งยาไขข้อชนิดนี้ มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับสาร ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ในเนื้อเยื่อของเข่า มีประสิทธิภาพในการลดการเสียดสี ลดอาการปวด บวม อักเสบ ทำให้เคลื่อนไหวหัวเข่าได้สะดวกยิ่งขึ้น แต่ข้อเสีย ก็คือ ต้องฉีดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 3 – 5 สัปดาห์ และฤทธิ์ยาจะอยู่ได้ ประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปีเท่านั้น หลังฉีดอาจมีอาการปวด บวม แดง และ ต้องพักการใช้งานเข่า ประมาณ 2 – 3 วัน หรือ พบในหลายราย ที่ฉีดแล้ว ไม่เกิดผลในการรักษา

2. การฉีดเกล็ดเลือด (Platelet Rich Plasma)

การฉีดเกล็ดเลือด หรือ การปั่นเลือด เป็นการใช้เลือดของผู้ป่วยไปปั่น เพื่อแยกคัดเอาเกล็ดเลือด และสารช่วยสร้างเนื้อเยื่อ โดยทำให้มีความเข้มข้น สูงกว่าเกล็ดเลือดทั่วไป 3 – 4 เท่า เมื่อฉีดเข้าไปแล้ว เกล็ดเลือดจะไปทำการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ รักษาอาการอักเสบ เป็นการบรรเทาอาการปวดเบื้องต้น หลังฉีดอาจรู้สึกชาบริเวณที่ฉีด ประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง และ อาจปวด 1 – 2 วัน เลยทีเดียว ซึ่งการฉีดเกล็ดเลือดนี้ มีค่าใช้จ่ายสูง และ ยังไม่มีการวิจัยที่แน่ชัดว่า สามารถรักษาน้ำไขข้อแห้งได้จริง แพทย์จึงไม่นิยมมาใช้ในการรักษา การฉีดเกล็ดเลือด ยังอยู่ในระยะศึกษาทดลอง และ มักพบว่าได้ผลน้อย

3. รับประทานยาไขข้อกระดูก

การรับประทานยาไขข้อ เช่น กลูโคซามีน และ คอนดรอยติน (Glucosamine and Chondroitin) เป็นอีกหนึ่งวิธีสำหรับการรักษา แต่หากรับประทานไป 2 – 3 เดือนแล้ว ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ก็ควรหยุดทาน เพราะยาไขข้อกระดูกกลุ่มนี้ ได้ผลแค่เฉพาะบางคนเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นที่ถกเถียงในวงการแพทย์อยู่ว่า มีประสิทธิภาพในการช่วยให้น้ำในข้อเข่า เพิ่มมากขึ้นหรือไม่ เป็นยาไขข้อกระดูก ที่ช่วยให้อาการเข่าเสื่อมดีขึ้นหรือไม่ อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายสูง หากทานแล้วไม่ได้ผล จะเป็นการสิ้นเปลืองมากกว่า และ มีส่วนทำให้เกิดต้อหิน ตามงานวิจัยที่พบ ดังนั้นวิธีนี้จึงเป็นวิธีที่ไม่ได้รับความนิยมสักเท่าไหร่นัก

4. รับประทานคอลลาเจนประเภทที่ 2 (Collagen Type 2)

การรับประทานคอลลาเจนประเภทที่ 2 (Collagen Type 2) หรือ คอลลาเจนไขข้อ ไม่ว่าจะเป็นแคปซูล หรือแบบผง ที่สกัดมาจากกระดูกอ่อนของสัตว์ โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย แต่คุณรู้หรือไม่ว่า งานวิจัยหลายฉบับระบุว่า คอลลาเจนไขข้อ ไม่ได้ทำให้น้ำไขข้อเพิ่มขึ้น อีกทั้งงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับคอลลาเจนประเภทที่ 2 เป็นข้อมูลที่พบเฉพาะงานวิจัยเพื่อการตลาด ของบริษัทขายวัตถุดิบในต่างประเทศ แต่ในทางการแพทย์ ยังไม่มีงานวิจัยที่เชื่อถือได้ และ มีข้อสังเกตว่า เมื่อรับประทานคอลลาเจนไขข้อเข้าไปแล้ว คอลลาเจนจะถูกย่อยที่กระเพาะ เหมือนการรับประทานอาหาร ประเภทโปรตีนทั่วๆ ไป เมื่อถูกย่อยในกระเพาะแล้ว ก็ไม่ได้ไปเติมน้ำไขข้อเลย จึงไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่า คอลลาเจนไขข้อ สามารถช่วยเรื่องน้ำไขข้อแห้งให้ดีขึ้นได้ ดังนั้นการรับประทานปลา เนื้อสัตว์ โปรตีนที่มีคุณภาพ หรือเลือกทานผักผลไม้ให้หลากหลาย รวมถึงการหมั่นบริหารข้อเข่าอย่างถูกวิธี จะเป็นการสร้างน้ำไขข้อจากข้างในได้ดีมากกว่า

น้ำไขข้อแห้ง ไม่อยากฉีดยา อยากหายดีระยะยาว ยาสมุนไพรสกัดช่วยคุณได้

หากใครที่รู้สึกว่า ตัวเองมีอาการ คล้ายกับน้ำไขข้อแห้ง แต่กังวลในเรื่องวิธีการรักษา และค่าใช้จ่ายที่สูง รวมถึงอยากหายดีในระยะยาว การรับประทานยาสมุนไพร สกัดธรรมชาติ 100% เป็นวิธีที่ได้รับความนิยม มาอย่างยาวนาน เนื่องจากมีประสิทธิภาพ ในการรักษาได้จริง เป็นการแก้ที่ต้นเหตุ และ สามารถรับประทานเพื่อเป็นการป้องกันโรคได้ด้วย ทั้งนี้ควรเลือกยาสมุนไพร ที่มีผลการวิจัยรองรับว่า มีประสิทธิภาพในการรักษาได้จริง มีการการันตีจาก อย. และ กระบวนการผลิตมาตรฐาน (GMP)

“ยาสมุนไพร จากศูนย์แพทย์แผนไทย หมออรรถวุฒิ” ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์คุณภาพ ที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน มากกว่า 30 ปี โดยเฉพาะ ยากษัยเส้น และ ยาตรีโลก ที่มีส่วนช่วย ในการซ่อมแซมความเสื่อมของเข่า ข้อเข่า ลดกระบวนการอักเสบ ได้อย่างลงลึก ถึงกลไกภายใน ไม่เหมือนยาแก้อักเสบกล้ามเนื้อ NSIAD จึงไม่ต้องกังวลกับสารเคมีตกค้างในร่างกาย โดย ยากษัยเส้น และ ยาตรีโลก สกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ หลากหลายชนิด เช่น

• สารสกัดจาก เถาวัลย์เปรียงแดง และ เถาวัลย์เปรียงขาวสกัด  
• สารสกัดจาก โด่ไม่รู้ล้มสกัด 
• สารสกัดจาก ทองพันชั่งดอกเหลือง
• สารสกัดจาก กำแพงเจ็ดชั้น
• สารสกัดจาก เถาโคคลาน
• สารสกัดจาก กำลังวัวเถลิง  
• สารสกัดจาก ดอกคำฝอย
• สารสกัดจาก ดีปลี
• สารสกัดจาก ขิงแห้ง
• สารสกัดจาก เจตมูลเพลิง
• สารสกัดจาก กระวานเทศ
• สารสกัดจาก ทองพันชั่งดอกขาว และ ทองพันช่างดอกเหลือง
• สารสกัดจาก มะขามป้อม
• สารสกัดจาก กระชาย
• สารสกัดจาก ฝาง
• และอื่นๆ อีกมากมาย

นอกจากนี้ ศูนย์แพทย์แผนไทย หมออรรถวุฒิ ยังมี “ไมรอทนาโนสเปรย์” ยาไขข้อ ชนิดสเปรย์ ซึ่งเป็นสเปรย์นวัตกรรมนาโนโมเลกุล ใหม่ล่าสุด ของประเทศไทย ที่ศูนย์แพทย์แผนไทยหมออรรถวุฒิ ได้ทำการวิจัยร่วมกับ นาโนเทค สวทช. ในการผลิตสเปรย์ยาไขข้อกระดูก นี้ขึ้นมา

ไมรอทนาโนสเปรย์ มีประสิทธิภาพในการซึมเข้าสู่ผิวชั้นลึกได้ง่าย เป็นการพัฒนาอนุภาคนาโน NANOPi การกักเก็บสารสกัดสมุนไพร ดังนั้นจึงเป็นการรักษา อย่างลงลึก ถึงต้นเหตุ โดยไมรอทนาโนสเปรย์ สกัดจากสมุนไพรมากถึง 7 เช่น ไพร ขมิ้นชัน ขิง เถาวัลย์เปรียง เป็นต้น ผ่านการวิจัย และ การตรวจสอบประสิทธิภาพ เมื่อเปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบัน Diclofenac แล้วพบว่า “ตัวอนุภาคนาโนของ ไมรอทนาโนสเปรย์ มีความสามารถ ในการยับยั้งการอักเสบ ได้มากกว่า Diclofenac ถึง 80% สามารถต้านอนุมูลอิสระ ที่เป็นสาเหตุของอาการปวดหัวเข่า เข่าอักเสบ และ เข่าเสื่อม ได้มากถึง 80% อีกด้วย”

นอกจากนี้ หากผู้ป่วยใช้ยาสมุนไพรไทยในการรักษา ร่วมกับรับประทานอาหาร ให้ครบ 5 หมู่ ทั้งโปรตีน ปลา นม ไข่ ธัญพืช ผัก ผลไม้ และ ออกกำลังอย่างเหมาะสม ก็จะทำให้น้ำไขข้อแห้งดีขึ้น สุขภาพดีจากภายใน และไม่ต้องกลับไปเจ็บป่วย กับวงจรเดิมๆ นั่นเอง สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่